BioMEMS

I'm changed

Wednesday, September 19, 2007

SME: Small Meeting & Eating at Photoy's house







เฮ้!มาแว้ว







มาช้าหน่อย เพิ่งมีความเคลื่อนไหวอ่ะ แต่ขอฝากไว้ที่ blog เรานะ blog รุ่นมีปัญหานิดหน่อย



ครือว่าวันเสาร์ที่ผ่านมา (16 กันยายน 2550) พวกเราทั้ง 3 อันประกอบไปด้วย Opal, Tookta & K นั่งรถตู้
















ไปบ้าน Photoy ตามที่ได้มีการนัดหมายวึ้ยยย....() พอลูกไม่อยู่




















(ภาพขณะนั่งรอญาติมารับ...)








(ยืนรอ...ยืนแล้วจริงๆ)







พอไปถึงก็มีต้ม+ลาบเป็ดรออยู่แว้ว แต่เรากะ Photo ก็ไปซื้อไก่ย่าง ส้มตำ & ขนมจีนมาเสริมทัพ














(ภาพขณะแร้งลง) ^อีกมุมของฝูงแร้งผู้หิวโหย (ข้าวเช้านี่หว่า)







ไอ้เปิ้ลมันมาบ่าย 3 มากินๆ เกือบถึงเวลากลับละ แล้วโฟโต้ก็ไปส่งพวกเราขึ้นรถตู้ แล้วก็บรรเจิดกัน ไปกิน Swensen's

หนึ่งหญิงสองชาย

สองหญิง
อาหารบ้านน้อกกกกก...บ้านนอก
แถวบ้าน Photoy

แอ๊บแบ๊ว


อิ่มละ

Friday, August 31, 2007

ลิขิตรักขัดใจผมครับพี่น้อง

*คำเตือน*ใครยังไม่ได้ดูและคิดว่าจะดู อย่าอ่าน มี spoil เล็กน้อย
ขอพูดถึงหนังอีกที เป็นเรื่องที่เคยมีความรู้สึกอยู่ระหว่างอยากดูกับไม่อยากดู จนที่สุดก็ได้ไปดูเพราะเพื่อนชวนแบบกระทันหัน (29 ส.ค. 2550 K-Tookta-Fon(Jennet)-Pui+, 19:55) ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายนัก ขอแค่เป็นธรรมชาติ มีเรื่องราวเนื้อหาพอใช้ก็โอเคละ แต่พอไปดูแล้ว เรากลับรู้สึกอึดอัดใจและลุ้นว่าหนังจะประคองตัวไปจนจบได้อย่างไร หนังพยายามใส่ปรัชญาง่ายๆของการดำเนินชีวิต แต่การใส่สิ่งเหล่านี้เข้าไปต้องการการปูอารมณ์พอสมควร ไม่ใช่อยากใส่ก็ใส่ จนคนดูรู้สึกว่ายัดเยียด ขอวิจารณ์โดยแยกตามส่วนต่างๆดังนี้
1) ตัวละคร
พระเอกที่ว่าเล่นเกือบแข็งแล้ว เจอตัวแม่เข้าไปพระเอกแพ้เลย แม่พระเอกมีบทบาทประมาณครึ่งเรื่อง แต่เป็นครึ่งที่คนดูต้องลุ้นจนตัวโก่งว่าจะไปรอดมั้ย ตัวประกอบที่ส่วนใหญ่เป็นหน้าใหม่ก็ขาดสีสัน พี่ประธานชมรมก็พูดภาษาถิ่นแบบแปลมาจากภาษากลาง ขอชมนางเอกเล่นเป็นธรรมชาติที่สุด รองลงมาคือเพื่อนที่เป็นกะเทย พี่ชมรมที่เป็นตับอักเสบก็โอเค
2) บทภาพยนตร์
ทำการบ้านน้อยไปหน่อย โดยเฉพาะเรื่องภาษาและวัฒนธรรม ใน มข. เราใช้ภาษากลางกันเป็นส่วนใหญ่ยกเว้นว่าจะด่ากันหรือว่าสนิทกันจริงๆ จึงจะใช้ภาษาถิ่น
2.1) เริ่มมาฉากแรกในตึกเต่า (หอประชุมกาญจนาภิเษก) มีการชักชวนรุ่นน้องเข้าชมรม (ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่มีอย่างนี้ แต่รับได้) ก็เล่นมุขหยาบคายเป็นภาษาถิ่นเลยซึ่งอันที่จริงไม่ว่าจะสถาบันไหน คุณเจอน้องใหม่มา (ในเรื่อง มาจากจังหวัดที่ไม่ได้ใช้ภาษาอีสานด้วย) ควรให้เกียรติและสุภาพกว่านี้ ต่อมารถลุงนางเอกมาส่ง ตามปกติแล้วใครเคยมหาวิทยาลัย ญาติผู้ใหญ่คงจะต้องไปส่งที่หอพักก่อน แล้วจะไปไหนต่อค่อยว่ากันทีหลัง แต่นี่ส่งกันที่ตึกเต่า ที่ใช้รับปริญญาและงานพิธีสำคัญ แถมยังขับรถออกมาจากตึกอีกแน่ะ เอาเข้าไป
2.2) ฉากต่อมาพระเอกเข้าหอพักเจอเพื่อนที่เป็นคล้ายๆทิดสึกใหม่ (มุขคล้ายพี่มหา ในเรื่องน้ำใสใจจริง...ช้าไปสิบปีครับ) ไม่ฟังใดๆ เปิดฉากพูดเรื่องส่วนตัว (ภาษาถิ่นล้วนๆ) ไม่คิดจะถามเพื่อนมั่งเลยเหรอว่าชืออะไร จบจากไหน พูดภาษาอีสานได้หรือเปล่า จะใจร้อนไปถึงไหนกัน แล้วพอพระเอกบอกว่าพูดอีสานไม่ได้ เขาก็ยังไม่เปลี่ยนไปใช้ภาษากลางอีก ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่า "ถ้าฟังภาษาอีสานไม่ออก คงใช้ชีวิตใน มข. อย่างไม่มีความสุข" อยากให้ความรู้ว่าเราใช้ภาษากลางกันแทบตลอดเวลา คุณเสนอออกมาในแง่นี้ เป็นการให้ข้อมูลที่บิดเบือน
2.3) เคยอ่านบทสัมภาษณ์ผู้กำกับฯ ใจความว่าแรงบันดาลใจอย่างหนึ่งที่ทำให้อยากสร้างหนังเรื่องนี้ คือ การได้ไปเห็น ความศิวิไลซ์ของ มข. และจังหวัดขอนแก่น ประทับใจเหลือเกิน อยากให้คนอื่นได้เห็นในมุมนี้บ้าง เราเลยคิดว่าถ้าได้ไปดูคงได้เห็นสิ่งเหล่านี้ในหนังบ้าง แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง เมื่อเนื้อหาเต็มไปด้วยการนำเสนอความเป็นชนบทและล้าหลังของ มข. และ ชาวอีสาน เมื่อคุณมีฉากที่แม่พระเอกส่งพัสดุกองพะเนินไปให้ลูกด้วยเข้าใจผิดว่าขอนแก่นคงหาของเหล่านั้นลำบาก คุณก็ควรจะมีการนำเสนออีกมุมหนึ่งที่เรามีด้วย ตัวอย่าง ศูนย์คอมพิวเตอร์ทั้งศูนย์ใหญ่ใกล้คณะวิศวกรรมศาสตร์ ในหอสมุดกลาง ในห้องสมุดคณะต่างๆ หรือ internet cafe ที่มีมากมายเหมือนดอกเห็ดตามหลังมอ หรือระบบการศึกษาที่ทันสมัย หรือโรงพยาบาลที่เป็นศูนย์รักษาผู้ป่วยทั้งภาคอีสานนั่น แต่คุณกลับส่งเด็กที่ป่วยจากค่ายเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน ทั้งๆที่นักศึกษาทุกคนมีประกันชีวิต รักษาฟรีในโรงพยาบาลศรีนครินทร์กับอาจารย์ของพวกเราเอง
2.4) เหตุการณ์บางอย่างขาดเหตุผลที่ควรเกิด เช่น การที่พระเอกเข้าร่วมการประกวด The One นั้น แปลกจังที่ไม่มีการประกวดรอบคัดเลือก อยู่ดีๆก็เข้ารอบสุดท้ายเลย นางเอกก็ไร้สติที่เอะอะก็ว่าๆพระเอก (ตบยุงก็ผิด ถามว่าของกินนี่อะไรก็ผิดอีก) ดูหน้าน้องเขาน่าจะเล่นบทฉลาดๆกว่านี้ได้ ทำให้น้ำหนักอารมณ์คนดูแทบไม่อยากช่วยลุ้นอะไรเลย (นอกจากลุ้นว่าหนังจะหาลานจอดเจอมั้ยหนอ)
2.5) งานรับน้อง มข.มีหมอลำด้วย เอ้า!เอาเข้าไป ไม่พอ...มีนักศึกษากระโดดขึ้นไปร่วมแจมบนเวทีอีกต่างหาก ขอบอกว่าบ้านผมก็บ้านนอก (ชนบท) ครับ แต่อย่างแย่ที่สุดก็แค่พวกขี้เมาเต้นกันฝุ่นตลบอยู่บนพื้นดินหน้าเวทีเท่านั้นเอง นี่อะไร นักศึกษาปัญญาชนขึ้นไปบนเวทีอย่างนั้น อายจริงๆ
2.6)งานรับน้องคณะวิศวกรรมศาสตร์มีรุ่นพี่+รุ่นน้องนับคร่าวๆในเรื่องไม่น่าเกิน 30 คน ไปสำรวจเอาเองว่าเรามีนักศึกษาอยู่เท่าไหร่ มิหนำซ้ำรุ่นพี่ในเรื่องแสดงอาการสะใจมากเมื่อหลอกน้องกลั้นหายใจวิ่งข้ามสะพานขาวได้ เรื่องจริงคือไม่มีพี่คนไหน คณะไหนหรอกที่ไม่วิ่งและไม่ทำทุกอย่างไปพร้อมกับน้อง เหนื่อยเราก็เหนื่อยด้วยกัน สั่งซ่อมน้อง พี่ก็เอาด้วย คุยเสนอบิดเบือนอีกแล้วครับ
*Note* ถ้าอยากตัดปัญหาก็ง่ายมาก แค่ใช้ชื่อในเรื่องว่า มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะเมื่อหนังออกสู่สาธารณะ คนย่อมเชื่อว่านี่คือสิ่งที่เห็นและเป็นจริงใน มข.
3) ชื่อหนัง+เพลงประกอบ
จากเพลงพรหมลิขิตที่เปิดประกอบอยู่ในทุกสื่อที่มีเสียง คงทำให้คนดูทุกคนคาดว่าปีนี้จะได้ดูหนังรักโรแมนติกแบบไทยๆเป็นเรื่องแรกของปีละ คงกุ๊กกิ๊กน่ารักดี แต่เอาเข้าจริงกลายเป็นขัดใจแม่เพราะพระเอกเลือกทำในสิ่งที่รัก ไม่ใช่เลือกคนรักแล้วขัดใจแม่ (หักหลังคนดูนิดๆนะเนี่ย) เออพออภัยได้ถ้าไม่เอาเพลงคนอื่นเขามาหากิน...ไม่พอตอนจบเปิดเพลงนี้อีก (เปิดทำไม?)
4)รายละเอียดบางอย่าง
ชื่อชมรมเราคือ "อาสาพัฒนา" ไม่ใช่ "ค่ายอาสา" ตามที่ screen บนเสื้อค่าย ขอบอกว่าเสียดายความตั้งใจดีแต่ขาดความรอบคอบของผู้สร้าง หากให้เวลาศึกษาค้นคว้า รวมทั้งคัดเลือกนักแสดงให้นานกว่านี้หน่อย หนังอาจออกมาดีและไม่ขัดใจ (คนดูอย่างเรา) อย่างนี้

Friday, August 17, 2007

Pink Man


ฮาสาดด...ไม่รู้คิดได้ไง เป็นศิลปะประชดสังคมแบบนึง ไปเจอมาโดยบังเอิญ ใครสนใจเอา link ไป

Saturday, April 21, 2007

Me...Myself


แค่ชอบหนังเรื่องนี้เท่านั้นเอง เลยเอามาเก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆซะหน่อย
หนังมีพล็อตบ้าๆ ธรรมดาทั่วไป แต่มีการใส่รายละเอียดเยอะดี ดูแล้วรู้สึกว่ามีการลงทุนทางอารมณ์มากกว่าลงทุนทางการเงินเพียงอย่างเดียว มีศิลป์ดี

Wednesday, February 14, 2007

Emotion


Monday, February 05, 2007

ความรักในโรงพยาบาล


เมื่อวันที่ 31 มกราคม-2 กุมภาพันธ์ 2550 ที่ผ่านมาได้กลับไปบ้านที่ขอนแก่นเพราะปู่ไม่สบาย ตอนแรกนึกว่าเป็นกลุ่มโรคปอดอุดกันเรื้อรัง (COPD:chronic obstructive pulmonary diseases) เช่น ถุงลมโป่งพอง (emphysema) อะไรงี้ แต่พอเพาะเชื้อเสมหะดูกลับพบว่ามีเชื้อวัณโรคร่วมด้วย ก็ตรงกะผล x-ray อ่ะนะ ก็ admit อยู่ตอนนี้ อือ ที่จะเล่าจริงๆคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างที่เฝ้าปู่ในโรงพยาบาลต่างหาก ก็ไปเจอผู้ป่วยเตียงข้างๆมากมายและญาติๆ เค้ารู้จักปู่เราก็เลยได้รู้จักเราไปด้วย (ที่ต่างจังหวัดจะรู้จักกันต่อให้อยู่คนละหมู่บ้าน ไม่รู้ทำได้ไง) ป้าๆยายๆออกจะให้ความสนใจเราเป็นพิเศษ เพราะส่วนใหญ่คนที่ไปเฝ้าไข้จะเป็นคนแก่ด้วยกัน ไม่ก็ลูกหลานที่อยู่แถวนั้น เลยได้พูดคุยกะเค้าไปทั่ว พยาบาล 2 คน ผู้ช่วยเหลือคนไข้อีก 1 คน ก็เพื่อนโรงเรียนมัธยม นักกายภาพบำบัด 2 คน ก็รุ่นพี่ อ้าวแม่บ้านตักข้าวก็แม่เพื่อน คนป่วยอีก ward ก็ป้า ซะงั้น
มีป้าคนหนึ่งถามว่าแต่งงานยัง (มันฮิตจริงๆเวลากลับบ้านเนี่ย เพราะขนาดลูกป้าซึ่งเด็กกว่า4-5ปีมันยังมีลูกแล้วเลย) เอ่อ...ยังครับ เออ...ดีๆหาดีๆนะลูก เอาคนที่รักเรา แต่อย่ารักมากไป (งง...เป็นไงวะ รักพอดีๆ) แล้วก็มาหาเอาแถวบ้านเรานี่แหละ คนไทย(ซึ่งป้าหมายถึงคนกรุงเทพฯ)มันไม่รักเราจริงหรอก ดูอย่างญาติป้าสิ ลูกชายไม่อยู่โดนสะใภ้รังแก พอสามีมาก็แกล้งทำเป็นดี ฉอดๆๆๆ.....(เราก็ค้าบๆๆๆ...) วันต่อมามีญาติคนไข้เตียงใก้ลๆกันมาเยี่ยมญาติเค้า ป้าบ่นว่าเตียงข้างๆเนี่ยลูกสะใภ้มาดมๆแล้วก็ไป ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาเล้ย เราเลยถามว่า สะใภ้เนี่ยคนที่ไหนครับ...บ้านเดียวกันนี่แหละ ป้าตอบ...เอ่อ จบข่าว @_@
แต่ป้าคนนี้ก็ให้มุมดีๆแก่เราเหมือนกัน...ป้าก็ทำให้รู้ว่าคนรักกันเนี่ยเค้าดูแลกันยังไงนะ ป้าบอกว่าอยู่กะลุงมาแทบไม่เคยบอกรักเลยอ่ะ แต่ก็อยู่กันมาจนแก่เฒ่า เวลาป่วยก็มาดูแล เมื่อก่อนเราเคยคิดว่า ถ้าเราแก่ไปแล้วป่วยก็เก็บเงินไปจ้างพยาบาลมาดูแลตัวเองซะ แต่พอได้มาดูของจริง มันไม่ใช่แค่เรื่องของการดูแลด้านร่างกายเท่านั้น เห็นลุงอีกเตียงตะโกนหาป้า นึกว่าเป็นอะไร อ้าว...แค่อยากให้มานั่งเป็นเพื่อน เวลาป่วยนี่มันหงุดหงิดนะ ทำไรก็ไม่สะดวก เอาแต่ใจด้วย แล้วถ้าไม่รักกันใครมันจะมาตามใจเวลาป่วย จริงป่ะ เห็นแล้วซึ้งใจชายหนุ่มที่ชื่อศรัทธาจัง (ในโฆษณาประกันอ่ะ...ไม่ใช่แมงสาบนะ คนละอัน) อยากรู้จังว่าเวลาเราป่วยจะมีใครมั้ยน้าที่คอยดูแลยังงั้นตอนแก่ อืม จะบ่นต่อคราวหน้า กลับละ

Monday, January 22, 2007

The beach


The beach is not only lie down beside the sea, but also supports the whole ocean. When we make up our mind to love somebody, we behave just as a bowl or the beach? Do we still love them if they are full of waste & pollution or just turn yourself down & leave? Human is not not simply created as a six-sided cube, but with uncountable sides. We may not learn & understand that all even though they live with us all of their lives. Love all the ways they are...If you really mean it.