*คำเตือน*ใครยังไม่ได้ดูและคิดว่าจะดู อย่าอ่าน มี spoil เล็กน้อยขอพูดถึงหนังอีกที เป็นเรื่องที่เคยมีความรู้สึกอยู่ระหว่างอยากดูกับไม่อยากดู จนที่สุดก็ได้ไปดูเพราะเพื่อนชวนแบบกระทันหัน (29 ส.ค. 2550 K-Tookta-Fon(Jennet)-Pui+, 19:55) ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายนัก ขอแค่เป็นธรรมชาติ มีเรื่องราวเนื้อหาพอใช้ก็โอเคละ แต่พอไปดูแล้ว เรากลับรู้สึกอึดอัดใจและลุ้นว่าหนังจะประคองตัวไปจนจบได้อย่างไร หนังพยายามใส่ปรัชญาง่ายๆของการดำเนินชีวิต แต่การใส่สิ่งเหล่านี้เข้าไปต้องการการปูอารมณ์พอสมควร ไม่ใช่อยากใส่ก็ใส่ จนคนดูรู้สึกว่ายัดเยียด ขอวิจารณ์โดยแยกตามส่วนต่างๆดังนี้
1) ตัวละครพระเอกที่ว่าเล่นเกือบแข็งแล้ว เจอตัวแม่เข้าไปพระเอกแพ้เลย แม่พระเอกมีบทบาทประมาณครึ่งเรื่อง แต่เป็นครึ่งที่คนดูต้องลุ้นจนตัวโก่งว่าจะไปรอดมั้ย ตัวประกอบที่ส่วนใหญ่เป็นหน้าใหม่ก็ขาดสีสัน พี่ประธานชมรมก็พูดภาษาถิ่นแบบแปลมาจากภาษากลาง ขอชมนางเอกเล่นเป็นธรรมชาติที่สุด รองลงมาคือเพื่อนที่เป็นกะเทย พี่ชมรมที่เป็นตับอักเสบก็โอเค
2) บทภาพยนตร์ทำการบ้านน้อยไปหน่อย โดยเฉพาะเรื่องภาษาและวัฒนธรรม ใน มข. เราใช้ภาษากลางกันเป็นส่วนใหญ่ยกเว้นว่าจะด่ากันหรือว่าสนิทกันจริงๆ จึงจะใช้ภาษาถิ่น
2.1) เริ่มมาฉากแรกในตึกเต่า (หอประชุมกาญจนาภิเษก) มีการชักชวนรุ่นน้องเข้าชมรม (ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่มีอย่างนี้ แต่รับได้) ก็เล่นมุขหยาบคายเป็นภาษาถิ่นเลยซึ่งอันที่จริงไม่ว่าจะสถาบันไหน คุณเจอน้องใหม่มา (ในเรื่อง มาจากจังหวัดที่ไม่ได้ใช้ภาษาอีสานด้วย) ควรให้เกียรติและสุภาพกว่านี้ ต่อมารถลุงนางเอกมาส่ง ตามปกติแล้วใครเคยมหาวิทยาลัย ญาติผู้ใหญ่คงจะต้องไปส่งที่หอพักก่อน แล้วจะไปไหนต่อค่อยว่ากันทีหลัง แต่นี่ส่งกันที่ตึกเต่า ที่ใช้รับปริญญาและงานพิธีสำคัญ แถมยังขับรถออกมาจากตึกอีกแน่ะ เอาเข้าไป
2.2) ฉากต่อมาพระเอกเข้าหอพักเจอเพื่อนที่เป็นคล้ายๆทิดสึกใหม่ (มุขคล้ายพี่มหา ในเรื่องน้ำใสใจจริง...ช้าไปสิบปีครับ) ไม่ฟังใดๆ เปิดฉากพูดเรื่องส่วนตัว (ภาษาถิ่นล้วนๆ) ไม่คิดจะถามเพื่อนมั่งเลยเหรอว่าชืออะไร จบจากไหน พูดภาษาอีสานได้หรือเปล่า จะใจร้อนไปถึงไหนกัน แล้วพอพระเอกบอกว่าพูดอีสานไม่ได้ เขาก็ยังไม่เปลี่ยนไปใช้ภาษากลางอีก ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่า "ถ้าฟังภาษาอีสานไม่ออก คงใช้ชีวิตใน มข. อย่างไม่มีความสุข" อยากให้ความรู้ว่าเราใช้ภาษากลางกันแทบตลอดเวลา คุณเสนอออกมาในแง่นี้ เป็นการให้ข้อมูลที่บิดเบือน
2
.3) เคยอ่านบทสัมภาษณ์ผู้กำกับฯ ใจความว่าแรงบันดาลใจอย่างหนึ่งที่ทำให้อยากสร้างหนังเรื่องนี้ คือ การได้ไปเห็น ความศิวิไลซ์ของ มข. และจังหวัดขอนแก่น ประทับใจเหลือเกิน อยากให้คนอื่นได้เห็นในมุมนี้บ้าง เราเลยคิดว่าถ้าได้ไปดูคงได้เห็นสิ่งเหล่านี้ในหนังบ้าง แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง เมื่อเนื้อหาเต็มไปด้วยการนำเสนอความเป็นชนบทและล้าหลังของ มข. และ ชาวอีสาน เมื่อคุณมีฉากที่แม่พระเอกส่งพัสดุกองพะเนินไปให้ลูกด้วยเข้าใจผิดว่าขอนแก่นคงหาของเหล่านั้นลำบาก คุณก็ควรจะมีการนำเสนออีกมุมหนึ่งที่เรามีด้วย ตัวอย่าง ศูนย์คอมพิวเตอร์ทั้งศูนย์ใหญ่ใกล้คณะวิศวกรรมศาสตร์ ในหอสมุดกลาง ในห้องสมุดคณะต่างๆ หรือ internet cafe ที่มีมากมายเหมือนดอกเห็ดตามหลังมอ หรือระบบการศึกษาที่ทันสมัย หรือโรงพยาบาลที่เป็นศูนย์รักษาผู้ป่วยทั้งภาคอีสานนั่น แต่คุณกลับส่งเด็กที่ป่วยจากค่ายเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน ทั้งๆที่นักศึกษาทุกคนมีประกันชีวิต รักษาฟรีในโรงพยาบาลศรีนครินทร์กับอาจารย์ของพวกเราเอง
2.4) เหตุการณ์บางอย่างขาดเหตุผลที่ควรเกิด เช่น การที่พระเอกเข้าร่วมการประกวด The One นั้น แปลกจังที่ไม่มีการประกวดรอบคัดเลือก อยู่ดีๆก็เข้ารอบสุดท้ายเลย นางเอกก็ไร้สติที่เอะอะก็ว่าๆพระเอก (ตบยุงก็ผิด ถามว่าของกินนี่อะไรก็ผิดอีก) ดูหน้าน้องเขาน่าจะเล่นบทฉลาดๆกว่านี้ได้ ทำให้น้ำหนักอารมณ์คนดูแทบไม่อยากช่วยลุ้นอะไรเลย (นอกจากลุ้นว่าหนังจะหาลานจอดเจอมั้ยหนอ)
2.5) งานรับน้อง มข.มีหมอลำด้วย เอ้า!เอาเข้าไป ไม่พอ...มีนักศึกษากระโดดขึ้นไปร่วมแจมบนเวทีอีกต่างหาก ขอบอกว่าบ้านผมก็บ้านนอก (ชนบท) ครับ แต่อย่างแย่ที่สุดก็แค่พวกขี้เมาเต้นกันฝุ่นตลบอยู่บนพื้นดินหน้าเวทีเท่านั้นเอง นี่อะไร นักศึกษาปัญญาชนขึ้นไปบนเวทีอย่างนั้น อายจริงๆ
2.6)งานรับน้องคณะวิศวกรรมศาสตร์มีรุ่นพี่+รุ่นน้องนับคร่าวๆในเรื่องไม่น่าเกิน 30 คน ไปสำรวจเอาเองว่าเรามีนักศึกษาอยู่เท่าไหร่ มิหนำซ้ำรุ่นพี่ในเรื่องแสดงอาการสะใจมากเมื่อหลอกน้องกลั้นหายใจวิ่งข้ามสะพานขาวได้ เรื่องจริงคือไม่มีพี่คนไหน คณะไหนหรอกที่ไม่วิ่งและไม่ทำทุกอย่างไปพร้อมกับน้อง เหนื่อยเราก็เหนื่อยด้วยกัน สั่งซ่อมน้อง พี่ก็เอาด้วย คุยเสนอบิดเบือนอีกแล้วครับ
*Note* ถ้าอยากตัดปัญหาก็ง่ายมาก แค่ใช้ชื่อในเรื่องว่า มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะเมื่อหนังออกสู่สาธารณะ คนย่อมเชื่อว่านี่คือสิ่งที่เห็นและเป็นจริงใน มข.
3) ชื่อหนัง+เพลงประกอบจากเพลงพรหมลิขิตที่เปิดประกอบอยู่ในทุกสื่อที่มีเสียง คงทำให้คนดูทุกคนคาดว่าปีนี้จะได้ดูหนังรักโรแมนติกแบบไทยๆเป็นเรื่องแรกของปีละ คงกุ๊กกิ๊กน่ารักดี แต่เอาเข้าจริงกลายเป็นขัดใจแม่เพราะพระเอกเลือกทำในสิ่งที่รัก ไม่ใช่เลือกคนรักแล้วขัดใจแม่ (หักหลังคนดูนิดๆนะเนี่ย) เออพออภัยได้ถ้าไม่เอาเพลงคนอื่นเขามาหากิน...ไม่พอตอนจบเปิดเพลงนี้อีก (เปิดทำไม?)
4)รายละเอียดบางอย่างชื่อชมรมเราคือ "อาสาพัฒนา" ไม่ใช่ "ค่ายอาสา" ตามที่ screen บนเสื้อค่าย ขอบอกว่าเสียดายความตั้งใจดีแต่ขาดความรอบคอบของผู้สร้าง หากให้เวลาศึกษาค้นคว้า รวมทั้งคัดเลือกนักแสดงให้นานกว่านี้หน่อย หนังอาจออกมาดีและไม่ขัดใจ (คนดูอย่างเรา) อย่างนี้